รายละเอียดคอลเลคชั่น 14 โชว์ 21 ดีไซเนอร์ “ELLE Fashion WeekFall/Winter 2017” @ CentralWorld

รายละเอียดคอลเลคชั่น 14 โชว์ 21 ดีไซเนอร์

 ELLE Fashion WeekFall/Winter 2017” @ CentralWorld

ASAVA (อาซาว่า)

พลพัฒน์ อัศวะประภา

Grace เป็นคอลเลคชั่น Fall/Winter 2017-2018 สะท้อนถึงความสง่างามที่ออกมาจากวิธีคิดและมุมมองในการใช้ชีวิตของหญิงสาวซึ่งสำหรับ ASAVA แล้ว Grace ไม่ได้หมายถึงความหรูหรา แต่เป็นวิธีคิด
ถ้าผู้หญิงรู้จักตัวเองและมีเหตุผลในการเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะสวมใส่อะไร ก็ทำให้ชีวิตของตัวเองสง่างามได้ ซึ่งนั่นคือผู้หญิงตามแบบฉบับความสวยงามและปรัชญาความงามของ ASAVA

คอลเลคชั่นนี้ยังคงใช้เทคนิคการสร้างสรรค์ Cape Blouse ในลักษณะต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ ASAVA ผสมผสานไปกับการซ้อนทับเลเยอร์และเสื้อแขนกุดเพื่อสร้างมิติที่ดูแปลกตาออกไปรวมถึงการเพิ่มซิลลูเอทอย่างเดรสไลน์ทิวลิป (Tulip line), โครงเสื้อทรงตรง (Fit & Flare) และชุดอสมมาตร (Asymmetrical) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หญิงที่พร้อมจะสะท้อนความงามจากภายในอย่างสมบูรณ์ผ่านเนื้อผ้า
มอสเครป (Moss Crepe) ที่เบาและนุ่มสบาย รวมถึงผ้าซาตินที่พลิ้วไหวและลูกไม้เพิ่มความอ่อนหวาน ภายใต้โทนสีที่คุ้นเคยอย่างสีขาว สีดำ สีเบจ สีเทา และเพิ่มมิติด้วยโทนสีที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น
สีงาช้าง (Ivory) สีน้ำเงินคราม (Zephyr Blue) สีแดงลิ๊ปสติก (Lipstick Red) และสีชมพูแกมม่วง (Mauve)

 

ASV (เอ เอส วี)

พลพัฒน์ อัศวะประภา

“At The Ballet”  คอลเลคชั่นที่แสดงถึงความอ่อนหวานแบบเฟมินีน (Feminine) และความแข็งแกร่งอย่างมาสคิวลีน (Masculine) ผสมผสานไปกับศิลปะการเต้นชั้นสูงอย่าง บัลเล่ต์ (Ballet) ภายใต้แกนนำของ อลิเซีย อลอนโซ่  (Alicia Alonso) ผู้ปฏิวัติและก่อตั้งคณะบัลเล่ต์แห่งชาติของคิวบา รายละเอียดที่อ่อนช้อยละเมียดละไม ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ รวมไปถึงเครื่องแต่งกายที่เข้าถึงง่ายต่อการเคลื่อนไหว ผนวกกับแรงบันดาลใจจากศิลปะเค้าโครงที่เป็นต้นกำเนิดของศิลปะร่วมสมัย โดยนำองค์ประกอบทั้งหมด มาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวเพื่อสร้างมุมมองใหม่ของหญิงสาวในแบบฉบับของ ASV

          สำหรับโครงสร้างชุดในครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดผ่านโครงเสื้อคลาสสิคที่ปรากฏให้เห็นบนคีย์ลุค เช่น เสื้อไหล่เดียว (One shoulder) ที่สวมใส่คู่กับกางเกงขาบาน (Flared trousers) โดยได้แรงบันดาลใจจากชุดของ
นักบัลเล่ต์ที่สวมใส่ทูทู (Tutu) มาดัดแปลงเป็นโครงสร้างชุดในรูปแบบต่างๆ ผสมผสานกันในแบบฉบับของ Asv อาทิ กางเกงและกระโปรงในทรงตรง (Straight) ทรงเอ (A-Line) รวมไปถึงเสื้อคอวี (Deep V Neck) เสื้อคอกว้าง (Wide neck) นอกเหนือจากนั้นการนำเทคนิคเสื้อสปอร์ตแวร์ (Sportwear) มาใช้ก็เป็นอีกหนึ่งโครงสร้างสำคัญของคอลเลคชั่น เช่นการเพิ่มลูกเล่นอย่างหมวกฮู้ด (Hood) นำมิ๊กซ์กับเทรชโค้ท (Trench Coat) สไตล์สตรีทแวร์ (Streetwear) ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน (Day to Night) เพื่อเพิ่มลุคความเท่ ความสนุก ในแบบ “Boyish Feminine” ให้กับคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวมากยิ่งขึ้น

EVERYDAY KARMAKAMET (เอฟเวอรี่เดย์ คาร์มาคาเมท)

ณัทธร รักษ์ชนะ

“การมีชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่นั้น มีสิ่งใดเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดที่เราจะพิชิตมันให้สำเร็จในช่วงชีวิตที่มีอยู่ หากลองจินตนาการออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาเหนือท้องฟ้า ผ่านชั้นบรรยากาศ สู่ห้วงอวกาศ ท่ามกลางดวงดาวนับพันแสน เราออกเดินทางไปเพื่อแสวงหาค้นพบสิ่งใดกัน….”

นั่นคือคำถามที่แบรนด์น้องใหม่อย่าง EVERYDAY KARMAKAMET นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเลคชั่น “This Mission Is Too Important” ประจำ A/W 2017 โดยหยิบยกเอาเรื่องราวของมนุษย์ที่ตกอยู่ในช่วงเวลาของความทุกข์ ความเศร้าโศกอันทำให้นึกย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาแสนสุขที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและวัยเยาว์มาเป็นเนื้อหาหลัก นำเสนอผ่านคอนเซ็ปต์ cut (bad things) and add ( good things ) ซึ่งตีความ bad things ออกมาเป็นสิ่งที่ดูจริงจังและซีเรียสเปรียบดั่งชุดสูทชุดทำงานและ good things คือการเล่นสนุกแบบเด็กๆ อย่างเสื้อผ้ากีฬานอกจากนี้ยังแทนค่าความเครียดความกดดัน ผ่านเสื้อผ้าที่เข้ารูป และแสดงออกถึงการปลดปล่อยด้วยรูปแบบที่บานและใหญ่ออก

คอลเลคชั่นนี้ใช้วัสดุหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นั่นคือผ้าอ๊อกซ์ฟอร์ดผ้าลูกฟูกผ้าเชิ้ตยีนส์รวมไปถึงการนำวัสดุที่สดใหม่อย่างผ้าร่มซาตินผ้ากีฬา มาร่วมรังสรรค์ผ่านโครงสีหลักอย่างน้ำเงินเขียวชมพูเบจรวมไปถึงกลุ่มสีที่มีความเป็นยุค 60’s – 70’s เพื่อให้มีกลิ่นอายความสปอร์ตวินเทจด้วย

 

HOOK’S (ฮุคส์)

ประภากาศ อังศุสิงห์

HOOK’S ตั้งใจทำคอลเลคชั่น Aiyara Ten ขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ10 ปี
ของแบรนด์และอีกส่วนเพื่อเป็นการถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยได้
แรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทยในหลายๆ ยุคสมัย โครงของเสื้อผ้าจึงมีความเป็นไทยตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยนำสัญลักษณ์ช้างเผือกมาเป็นธีมหลัก ในโชว์จะเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมความเป็นไทยตามแบบฉบับของ HOOK’S คือใส่ความเป็นสมัยใหม่และลูกเล่นต่างๆ ลงไปด้วย

โชว์ของ HOOK’S ทำขึ้นเพื่อเล่าเรื่องในหลวงในดวงใจ โดยสอดแทรกเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ประสูติจนสวรรคต ร้อยเป็นเรื่องราวผ่านเสื้อผ้าภายใต้สารที่อยากส่งต่อว่า คนเราทุกคนสามารถเป็นช้างเผือกคู่บารมีของพระองค์ท่านได้ เพียงแต่ตั้งใจทำอาชีพของเราให้ดีที่สุด เป็นคนดี ประพฤติดี ดูแลคนที่รัก เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นลูกที่ดีของพ่อ

 

KLOSET (คลอเซ็ท)

มลลิกา เรืองกฤตยา

โชว์ของ KLOSET เป็นคอลเลคชั่นAutumn/Winter 2017 ภายใต้ชื่อคอลเลคชั่นว่า Wakeup and Rise มีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์จีนIn The Mood For Love ของผู้กำกับหว่องกาไว ซึ่งมีโทนสีและแสงที่สวยงาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายวินเทจอย่างสีเหลืองมัสตาร์ด สีแดงมารูนและเขียวหยก ดีไซเนอร์จึงนำแรงบันดาลใจนี้มาอยู่ในโครงสร้างและลวดลายหลักของคอลเลคชั่นรวมถึงความเป็น Oriental ที่สะท้อนผ่าน
วอลเปเปอร์ ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือสไตล์เสื้อผ้าที่นางเอกสวมใส่ด้วย

การดำเนินชีวิตประจำวันที่จำเจของตัวเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์อยากสื่อสารให้ผู้หญิงทุกคนฉีกกรอบเดิมๆ ตื่นและลุกขึ้นมาพบกับสิ่งใหม่ๆ ลวดลายที่นำมาใช้จึงมีทั้งนกและผีเสื้อ ซึ่งสะท้อนภาพว่าผู้หญิงควรจะมีอิสระและอย่าติดอยู่ในวงเวียนเดิมๆ โดยไฮไลท์นอกจากจะเป็นลายพิมพ์ที่สวยงามแล้ว ยังมีดีเทลงานปักที่ละเอียดลออ นับเป็นคอลเลคชั่นที่เจ้าของแบรนด์และดีไซเนอร์อย่างคุณแก้ม-มลลิกา ชอบมากที่สุดตั้งแต่ทำแบรนด์มา

 

LANDMEÉ  (แลนด์มี่)

เนตรดาว วัฒนะสิมากร

ครั้งแรกของ LANDMEE’ แบรนด์เสื้อผ้าขวัญใจผู้หญิงยุคใหม่ที่ได้ร่วมโชว์ใน ELLE Fashion Week โดยคอลเลคชั่นที่นำเสนอในครั้งนี้ชื่อว่า LANDMEE’ CLUB ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคลับในยุค 70sสร้างสรรค์เป็นเสื้อผ้าสไตล์เท่ปนหวานพร้อมกลิ่นอายวินเทจอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

คอลเลคชั่นนี้จะทำให้นึกถึงบรรยากาศของคลับบาร์ช่วงปลายปี 70s จนถึงยุค 1980 โดยมี Style Icons อย่าง Grace Jones, Bianca Jagger, Liza Minnelli, Iman, Debbie Harry,  Jerry Hall เป็นแรงบันดาลใจLANDMEE’ CLUB จึงเหมือนคลับที่รวบรวมเอาความโก้หรูในอดีตมาผสมกับความทันสมัยของปัจจุบันและความเซ็กซี่แบบมีรสนิยมของผู้หญิงยุคใหม่โดยนำเสนอผ่านเนื้อผ้าซาตินที่พลิ้วไหว และสีหลักอย่างเขียวชมพูสดม่วงและเหลืองมาสตาร์ด

 

PAINKILLER (เพนคิลเลอร์)

สิริอร เฑียรฆประสิทธิ์

หลังจากผ่านประสบการณ์มา 9 ปี PAINKILLER สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ของแบรนด์ออกมาเป็นคอลเลคชั่น Return to Form ซึ่งเล่าถึงการก่อร่างสร้างตัวและลุกขึ้นสู้ใหม่หลังเรื่องร้ายๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้ผู้คนเดินหน้าสู้ต่อไป โดยรวมเทคนิคหลายอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนนำเสนอผ่านคอลเลคชั่นนี้ เช่น การนำเสื้อผ้าเก่ามาทำเป็นชิ้นใหม่เป็นต้น

ที่พิเศษคือคอลเลคชั่นนี้ใช้ผ้าไทยเป็นวัสดุหลักถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยบอกเล่าที่มาที่ไปของ
ผ้าแต่ละชิ้นลงบนการ์ดที่ติดมากับเสื้อผ้าทุกตัว เพื่อตอกย้ำความดีงามในด้านวัตถุดิบของประเทศไทย ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่หันมาภูมิใจกับสิ่งที่ไทยมีและใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อสร้างงานที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลสแตนดาร์ดมากขึ้น ในส่วนของโทนสียังเน้นสีเรียบๆ เพราะอยากให้ทุกคนยังคงความสงบอยู่ และด้วยความที่เป็นคอลเลคชั่นซึ่งสะท้อนถึงการซ่อมแซมตัวเองจึงมีงานคราฟท์ให้เห็นทั้งงานปักและชุนด้วยมือ

 

 

THEATRE (เธียเตอร์)

ศิริชัย ทหรานนท์

ห่างหายจาก ELLE Fashion Week ไป 2 ปี THEATRE กลับมาครั้งนี้พร้อมคอลเลคชั่น Across The Universe ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงอันไพเราะของ The Beatles โดยดีไซเนอร์ได้รวบรวมจักรวาลความคิดที่เป็นตัวตนของ THEATRE ตั้งแต่ความชอบในการผสมผสานวัสดุที่แตกต่างเข้าด้วยกัน การใช้เทคนิคงานคราฟท์จากหลากหลายวัฒนธรรม เทคโนโลยีการทอและการตัดเย็บที่ทันสมัย และโครงเสื้อหลากหลายตั้งแต่ Streetwear จนถึง Couture มาสร้างสรรค์เป็นคอลเลคชั่นที่น่าประทับใจสมกับการรอคอย

 

TUBE GALLERY (ทูบว์ แกลลอรี่)

ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และพิสิฐ จงนรังสิน

ครั้งนี้ TUBE GALLERY มาในคอลเลคชั่นThe Portrait of a Lady ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของกุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) จิตรกรและมัณฑนากรชาวออสเตรียในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สร้างสรรค์เป็นเสื้อผ้าผู้หญิงแบบ Occasional Wear และผู้ชายแบบ Ready to wear โดยนำทั้งลายที่อยู่ในภาพเขียนมาถ่ายทอดลงไปบนชิ้นงาน รวมทั้งนำอารมณ์ของภาพ วิธีการใช้สี และวิธีการใช้ลายเส้นมาใช้กับตัวเสื้อผ้า ซึ่งทำโครงให้เป็นแบบ Maximum Volume คือใหญ่กว่าปกติ

ในส่วนของโทนสีมีทั้งสีดำขาว น้ำเงินทอง ซึ่งเป็นสีที่ศิลปินใช้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีสีเหลือง ชมพูม่วง ซึ่งมาจากลายดอกไม้ในภาพวาด โดยดีไซเนอร์ได้ดึงลวดลายบนภาพวาดมาเป็นลายบนเสื้อผ้าด้วยเทคนิคตัดต่อ เพื่อให้ได้ลายเส้นใกล้เคียงกับที่ศิลปินใช้มากที่สุด

 

VATANIKA (วทานิกา)

วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา

VATANIKA ส่งคอลเลคชั่นFall/Winter 2017 มาให้ยลโฉม ภายใต้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องแดร็กคูล่า เวอร์ชั่นงานเขียนของ Bram Stoker ทั้งในส่วนของเสื้อผ้าและรูปแบบของโชว์ โดยเสื้อผ้าเป็น Ready to Wearที่มีความลักชัวรี่และสตรีทสไตล์ เน้นความโมเดิร์นมากกว่าที่ผ่านมา แต่คงความคลาสสิกและเซ็กซี่ในแบบของ VATANIKA ไว้อย่างครบถ้วน ที่ขาดไม่ได้ คือการนำเสนอลูกเล่นใหม่ของคอลเลคชั่นนี้ ที่ทางแบรนด์สื่อออกมาในรูปแบบการใช้วัสดุที่หลากหลายมากขึ้น

คอลเลคชั่นนี้ดึงความประณีตในการแต่งกายของสุภาพสตรียุคเก่ามาประยุกต์เข้ากับวัสดุที่มีความ
โมเดิร์นเช่น การเลือกใช้ผ้าไหมกำมะหยี่ชั้นสูงและลูกไม้สุดหรูอันเป็นตัวแทนของความคลาสสิกมาผสมผสานกับวัสดุทันสมัยอย่างผ้าเลื่อม, ผ้ายีนส์, ผ้า Polyamide และอะไหล่สุดเท่ห์โดยนำเสนอผ่านความเป็น Ready to Wear ที่สนุกสนาน, โมเดิร์นและงดงามในแบบของผู้หญิงยุคใหม่

 

 

 

VATIT ITTHI (วทิต อิทธิ)

วทิต วิรัชพันธุ์ และอิทธิ เมทะนี

VATIT ITTHI กลับมาอีกครั้งหลังหยุดพักการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ไปหนึ่งปี คอลเลคชั่นนี้ได้รับ
แรงบันดาลใจมาจาก Peggy Guggenheim นักสะสมงานศิลปะในช่วงยุค 50 ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีรสนิยม และสายตาที่เฉียบคมในการคัดเลือกชิ้นงาน โดยทุกชุดยังคงเน้นที่งานแฮนด์เมดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เช่นเดิมเป็นการนำเสนองานฝีมือที่มาในรูปแบบ Ready to Wearตามสไตล์ที่ทั้งสองดีไซเนอร์ถนัด ภายใต้คำจำกัดความ Simple, Clean, Elegance คือเรียบนิ่งแต่มีรายละเอียดและงานตัดเย็บที่ประณีต

 

VICKTEERUT Presented by Federbräu (วิคธีร์รัฐ พรีเซ็นเท็ด บาย เฟเดอร์บรอย)

อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์

ผลงานคอลเลคชั่น Autumn/Winter 2017 จาก VICKTEERUT มีชื่อว่า Multiple Perspective โดยได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของ Pablo Picasso ในยุคปลาย70 ที่เน้นวาดพอร์ตเทรตหญิงคนรัก ซึ่งไม่ได้วาดเป็นรูปเหมือนจริง แต่เป็นแนว Cubism ที่จะต้องผ่านการวิเคราห์และกลั่นกรอง สังเคราะห์สิ่งที่สำคัญที่สุด พร้อมเน้นลวดทรง และเส้นสาย ดีไซเนอร์จึงดึงเอาอารมณ์นั้นมาใช้กับเสื้อผ้าให้ดูสนุกขึ้น เช่นการใช้สีหรือการตัดต่อผ้าลงไปให้ดูลวงตา และโครงเสื้อที่ดูเหมือนเยอะแต่ใส่แล้วเป็นผู้หญิงที่สวย มีสไตล์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงเน้นความเนี้ยบตามแบบฉบับของแบรนด์

โดยปกติงานของ VICKTEERUT จะใช้กราฟฟิกเส้นตรงทั้งหมด แต่คอลเลคชั่นนี้ เป็นครั้งแรกที่แบรนด์นำเส้นโค้งมาประยุกต์ใช้ ดังนั้นแพตเทิร์นที่ออกมาจึงมีความโค้งและเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชัดขึ้น ผลงานจึงออกมาดูวินเทจและสง่างาม ส่วนโทนสีใช้แม่สีเป็นหลัก ความสนุกอยู่ที่การใช้สีตัดกันอย่างสิ้นเชิง อย่างดำกับเหลือง น้ำเงินกับแดง ทำให้เป็นคอลเลคชั่นที่สนุกสนานและมีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น

เพราะไม่ใช่แค่ดี…แต่ต้องดีที่สุด คอลเลคชั่นจาก VICKTEERUT ครั้งนี้ จึงรังสรรค์ผลงานด้วยแนวคิด Passion für Perfektion ร่วมกับ Federbräu โดยมุ่งมั่นเป็นตัวแทนของคนที่มีพลังสร้างสรรค์ พร้อมมอบสิ่งที่ท้าทายให้ออกสู่สายตาวงการแฟชั่นระดับโลก

 

  • FRESH FACES

PITCHANA  (พีชนา) 

พีชนา เอกชัย 

ดีไซเนอร์สาวเลือดใหม่ พีชนา เอกชัย  เลือกที่จะนำคาแร็กเตอร์ของ เจอร์รี่ ฮอลล์ ซูเปอร์โมเดลแห่งยุค 70 หญิงสาวที่ครองใจนักร้องนำแห่งวง Rolling Stones มาเป็นแรงบันดาลใจในคอลเลคชั่น”GLAM ROCK” โดยหยิบเอาเทรนด์และบริบทของสังคมในยุคนั้นมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน  คอลเลคชั่นนี้จึงมีสีสันมากขึ้นกว่าทุกครั้ง อย่างเช่นสีเหลืองมัสตาร์ด เขียวขี้ม้า เบอร์กันดี้ และสีเมทาลิค

ดีไซน์ยังคงเน้นทรวดทรงสรีระของสตรี โดยทุกชุดจะมีกลิ่นอายของความ หวาน เปรี้ยว เท่รวมอยู่ด้วยกัน เริ่มด้วยชุดค็อกเทลสายเดี่ยวคอเว้าสีเหลืองมัสตาร์ดที่มีดีเทลคัทเอ้าท์ทั้งสองข้างของกระโปรงและมีเชือกร้อยเพื่อเพิ่มดีเทลให้กับชุด สวมทับด้วยครอปแจ็กเก็ตขนนกกระจอกเทศสีเหลืองครีม  ต่อด้วยคีย์ลุคของคอลเลคชั่นนี้คือชุดเกาะอกสีขาวที่มีคัทเอ้าท์ด้านขวาด้านเดียวตั้งแต่ใต้อกลงไปหากแต่เชื่อมด้วยเส้นคริสตัลจรดกลางน่อง สำหรับหญิงสาวที่กล้าจะเสี่ยงและสนุกกับแฟชั่นต้องเลือกชุดจั๊มพ์สูทแดงสดผ่าลึกจบด้วยขากระดิ่งขนาดยักษ์ที่ทำให้ทุกย่างก้าวเป็นที่จับตามอง จบด้วยราตรีพลีทเมทาลิคสีเงินสะท้อนถึงยุคดิสโก้ที่
ทิ้งท้ายเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยคัทเอ้าช่วงอกและผ่าหน้าขาสองข้างที่ทำให้ทุกคนต้องเหลียวหลังมอง
คอลเลคชั่นนี้มีกลิ่นอายของยุคเซเวนตี้ส์ มีลุคที่สง่างามจนไปถึงลุคที่มีความร็อคแอนด์โรว์ ผสมผสานด้วย
คาแรกเตอร์ของดีไซเนอร์ ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งค้นหาออกแบบดีไซน์แปลกใหม่ที่ทำให้ทุกคนช็อกและขนลุกกับไอเดียนอกกรอบแต่สามารถใส่ได้ในชีวิตจริง

 

KANAPOT AUNSORN (คณาพจน์ อุ่นศร)

คณาพจน์ อุ่นศร

คอลเลคชั่น Fall/Winter 2017 ที่นำมาโชว์ครั้งนี้มีชื่อว่า “The Future Is Now” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์เรื่อง “Hidden Figures” ที่เล่าถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อกลุ่มนักคณิตศาสตร์หญิงผิวดำชั้นนำของ NASA ช่วยให้อเมริกาเอาชนะคู่แข่งอย่างสหภาพโซเวียตขึ้นเป็นเจ้าแห่งการสำรวจอวกาศ พร้อมกับขับเคลื่อนการต่อสู้เพื่อสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

โดย KANAPOT AUNSORN ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางและการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการนำความ Retrofuturism ของยุค 60s มาผสมผสานกับเรื่องราวในปัจจุบัน ผ่านลายพิมพ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ตลอดจนหยิบยืมเอาชุดนักบินอวกาศ (Astronaut) มาเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษอย่างโค้ทบุนวมพิมพ์ลาย (Printed oversized puffer coat) รวมไปถึงการนำลายพิมพ์ดอกไม้ซึ่งสื่อถึงตัวเอกของเรื่องและสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์มาผสมผสานเข้ากับลายพิมพ์อวกาศถ่ายทอดลงบนเสื้อฮาวายซึ่งเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่สามารถเล่าเรื่องราวจากคอลเล็คชั่นนี้ได้อย่างลงตัว

 

SARRAN (ศรัณญ)

ศรัณญ อยู่คงดี

หลังร่วมงาน ELLE Fashion Week เมื่อสองปีก่อน SARRAN กลับมาอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น พร้อมกับนำเสนอผลงานจิวเวลรี่ที่มีความเป็นศิลปะสูงจนเรียกได้ว่า Art to Wear ภายใต้คอนเซ็ปท์Every Woman Deserve Elegance เพราะมองว่าผู้หญิงทุกคนควรค่าแกความงามสง่า โดยจิวเวลรี่ของ SARRAN สะท้อนภาพผู้หญิงในคุณลักษณะของไทยแบบโบราณ ซึ่งมีความงามสง่าในแบบที่ผู้คนในยุคนี้อาจจะไม่คุ้นชินแต่เป็นความงามที่นานาชาติกำลังถวิลหา

คอลเลคชั่นที่นำมาโชว์ในปีนี้พูดถึงเรื่องธรรมชาติโดยเปรียบเทียบผู้หญิงกับองค์ประกอบหนึ่งของธรรมชาติในเมืองไทย และมีความโดดเด่นที่การนำเชิงช่างด้านอื่นๆ ของไทยเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่นงานจักสานย่านลิเภาการใช้งานไม้และงานฝังมุกเฟอร์นิเจอร์แบบไทย แต่ยังคงเอกลักษณ์หลักของแบรนด์นั่นคือ เครื่องประดับแต่ละชิ้นจะมีเรื่องราวและกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน

 

  • THAI DESIGNERS BEYOND BOUNDARIES By Department of International Trade Promotion

CHAT (ฉัตร)

ฉัตรมณี แต้สุนทรไพเราะ

แบรนด์เครื่องประดับที่นำเอาความสวยงามของธรรมชาติ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ มาเล่าเรื่องผ่านลายเส้นอันพลิ้วไหวผสมผสานกับหินธรรมชาติที่มีความหมายมงคล ผ่านการเจียระไนรูปทรงพิเศษในแต่ละคอลเลคชั่น ที่มีความโดดเด่น และ แตกต่าง เสมือนงานศิลปะที่สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน

สำหรับคอลเลคชั่น OPIUM นี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก “โครงการหลวงเพื่อชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น”
ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9  ที่ทรงส่งเสริมให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รักษาป่า และ เลิกปลูกฝิ่นในคอลเลคชั่นนี้จึงนำเรื่องราวของดอกฝิ่นที่มีความสวยงามลึกลับ น่าหลงไหล แต่แฝงไปด้วยพิษร้าย มาสื่อผ่านโครงสร้าง ลายเส้นโค้งมน เล่นระดับตามธรรมชาติของดอกฝิ่น ผสมผสานกลิ่นไอเครื่องประดับของชาวเขา พร้อมยังประดับด้วยหินธรรมชาติไพไรท์เจียระไรพิเศษ พร้อมความเชื่อว่าแร่ไพไรท์นำมาซึ่งความสำเร็จ โดยเทคนิคการขึ้นชิ้นงานที่เป็นงาน Handcraft ผ่านการดัด เคาะ โชว์เทคนิคความชำนาญ ทำให้ชิ้นงานดูมีความพลิ้วไหว ดูเป็นธรรมชาติ

 

JITTRAKARN (จิตรกานต์)

จิตรกานต์บรรเทิงไพบูลย์

ยังดีไซเนอร์และเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับมีสไตล์มาพร้อมคอลเลคชั่นSTELLAR ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แนวไซ-ไฟซึ่งเล่าเรื่องราวเหนือจินตนาการถึงการผจญภัยไปสู่จักรวาลที่อยู่ไกลออกไป การเดินทางด้วยจักรกลล้ำสมัย และการค้นพบวัฒนธรรมต่างดวงดาวที่แปลกตา นำมาสู่การออกแบบคอลเลคชั่นที่นำพาผู้สวมใส่สู่โลกใหม่ที่ปราศจากข้อจำกัด การใช้เทคโนโลยีและวัสดุใหม่ในการผลิตชิ้นงานที่ที่ความซับซ้อน แข็งแรง และแปลกใหม่ ท้าทาย

 

LA ORR  (ละออ)

สุพัจนา ลิ่มวงศ์

          หากจินตนาการถึงการหลงเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยราชินีแห่งป่าอย่างกล้วยไม้ ผู้หญิงที่หลงใหลในความงามของธรรมชาติคงยากที่จะห้ามใจในการหยิบดอกไม้เหล่านี้มาชื่นชม และตกแต่งร่างกายให้สวยงามอย่างที่ฝัน คอลเลคชั่นนี้ดึงเอาความงามเฉพาะตัวของกล้วยไม้ทั้งสีสันและโครงสร้างอันโดดเด่นมาสู่เครื่องประดับ โดย La Orr เน้นย้ำการใช้เสน่ห์ของผ้าไหมไทยออกมาในรูปแบบเครื่องประดับที่ร่วมสมัยผ่านความน่าหลงใหลของกล้วยไม้และใช้ชื่อคอลเลคชั่นว่า Orchid Traps collection

 

 

NAVY (นาวี)

สุนิสา ศรีปริวาทิน

ภาพถ่ายทิวทัศน์ (Landscape) ในสถานที่ต่างๆจุดประกายความทรงจำให้ดีไซเนอร์ไฟแรงหวนคำนึง ถึงช่วงเวลานั้นๆ ในอดีต เจ้าตัวจึงหยิบยกและตีความออกมาตามแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นสาย จังหวะของพื้นที่ layer และยังจินตนาการไปถึงฝีแปรงในภาพวาดของภาพทิวทัศน์นั้นๆในภาพถ่ายยังผสมผสาน tradition ของส่วนประกอบทั้งหลาย ความเป็น workwearหรือการสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อการดำรงชีวิต การผูก มัด คลุม ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ สามารถทำได้เอง twist กับความเป็นเมืองในความเป็นจริงที่ต้องกลับมาใช้ชีวิต การสวมใส่เสื้ออาจไม่ใช่เพื่อการดำรงชีวิตเพียงอย่างเดียว  แต่ยังแสดงออกถึงตัวตน  รสนิยม  และ สิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบบุคคลนั้น คอลเลคชั่นTha Land Over the City จึงหยิบยกรายละเอียดต่างๆ มาไว้ในโครงสร้างของเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงความเป็นเมืองในรูปแบบแบรนด์Navy

 

PAUL DIREK (พอล ดิเรก)

กรุงเทพ ดิเรกมหามงคล

ผู้คนในสังคมเมืองปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษอย่างยากที่จะปฏิเสธและนั่นกลับทำให้ผู้คนในเมืองโหยหาความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นคอลเลคชั่นของ PualDirek จึงได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการใช้ชีวิตของคนในเมืองโดยใช้สีดำสื่อแทนพลังในการเปลี่ยนแปลงและสะท้อนการตื่นตัวในการทำลายสิ่งแวดล้อมของคนในสังคมผนวกกับการเลือกใช้วัสดุที่สื่อถึงธรรมชาติโดยตรง อาทิเช่นฝ้ายและใยกัญชาสร้างสรรค์ออกมาเป็นคอลเลคชั่น Black to Nature เพื่อความสมดุลของโลกและสิ่งแวดล้อม

 

Q DESIGN AND PLAY (คิว ดีไซน์ แอนด์เพลย์)

ประพัฒน์ สมบูรณ์สิทธิ์

คอลเลคชั่น“SUPERFINE”ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานตัดสูทแบบ TAILOR-MADE  โดยดึงเสน่ห์ของผ้าสูทและการตัดเย็บ การตัดต่อผ้าและพลิกตะเข็บโชว์ดีเทลของผ้าวูล และการนำเสื้อยืดวินเทจมาทำเป็นซับใน การหยิบใช้เนคไทวินเทจมาเป็นส่วนประกอบของเสื้อผ้าให้ดูร่วมสมัย และหยิบสัญลักษณ์ต่างๆของงาน TAILOR-MADE มาดัดแปลง ผสานกับความเป็น Q DESIGN AND PLAY โดยใช้สีที่ดูสุขุมในแบบสุภาพบุรุษแต่ก็ยังไม่ทิ้งความสนุกสนานในแบบ Q DESIGN AND PLAY ทำให้เสื้อผ้ามีความสนุก ทะมัดทะแมง แตกต่าง นำโครงเสื้อสูทโอเวอไซส์แบบยุค80  มาปรับใช้ให้เข้ากับปัจจุบันร่วมสมัย และยังทำให้เสื้อผ้าสามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส เทคนิคที่ใช้ในคอลเล็คชั่นนี้คือการสกรีนลาย พิมพ์ลาย และการตัดต่อผ้า สีหลักที่ใช้ได้แก่ ขาว ดำ และกรมท่า