แม็คกรุ๊ปเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ มั่นใจปีหน้ากลับมาเติบโตตามเป้า

แม็คกรุ๊ปเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ มั่นใจปีหน้ากลับมาเติบโตตามเป้า

แม็คกรุ๊ป ก้าวเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ ขยายสาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  รุกตลาดออนไลน์ และ Omni Channel พัฒนาระบบ CRM รวมถึงเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ตามเป้าหมายที่วางไว้

นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า “ขณะนี้แม็คกรุ๊ปสามารถดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่วางไว้ตั้งแต่ปลายปี 2559 ได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น ทำให้มีความมั่นใจว่าทิศทางและ    ผลการดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมาย ซึ่งในครึ่งหลังของปี 2560  กลไกสำคัญมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 15 สาขา       การขยายพื้นที่ในสาขามีศักยภาพอีก 30 สาขา  รวมไปถึงการรวมจุดขายเพื่อขยายพื้นที่ของร้านค้าเพื่อรองรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและกลุ่มสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น

ส่วนความคืบหน้าของการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ที่อิหร่าน บริษัทได้ดำเนินการเปิดร้านค้าแล้ว 2 ร้าน โดยอิหร่านเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจ ทั้งในแง่ของจำนวนประชากร รายได้ต่อครัวเรือน รวมถึงรูปแบบการแต่งตัวของประชากร

สำหรับประเทศพม่าในปี 2560 บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการการค้าปลีกและสินค้าคงคลังร่วมกับ              ผู้จัดจำหน่าย โดยได้มีการส่งบุคลากรเข้าไปเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและให้คำแนะนำในประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ยอดขายในประเทศพม่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการสนับสนุนในการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์และขยายฐานลูกค้า ภายใต้การร่วมมือดังกล่าวบริษัทและผู้จัดจำหน่ายในประเทศพม่าจึงได้มีการตัดสินใจปิดจุดขายกว่า 10 จุด โดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวไม่กระทบถึงยอดขาย  ในภาพรวม

ภายหลังจากที่ แม็คกรุ๊ป ได้มีการเริ่มรุกในส่วนของตลาดออนไลน์ ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2559 แม็คกรุ๊ปได้มีการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวเว็บไซต์ mcshop.com รูปโฉมใหม่ โดยจะมี         ความทันสมัย รวมถึงตอบสนองกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้าได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้บริษัทจะพัฒนา Feature เหล่านี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตื่นเต้นเร้าใจเทียบเท่ากับร้านค้าของบริษัทในปัจจุบัน ส่วนทิศทางในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการทำการตลาดแบบ Omni Chanel เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์และสามารถรับ เปลี่ยน หรือ        คืนสินค้าที่หน้าร้านค้าได้อย่างสะดวกสบาย  โดยในจุดเริ่มต้น บริษัทได้มีการติดตั้งแท็บเล็ตในร้านค้าเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบโปรโมชั่นได้ตามต้องการ

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560  บริษัทอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบ CRM เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ของสมาชิกให้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลอด 40 กว่าปี ที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการในส่วนนี้ ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรวบรวมสมาชิกได้ทั้งสิ้นหลายแสนคน”

 

ด้าน นางสาวเพียงขวัญ สีสุทธิโพธิ์  ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจและการขาย เปิดเผยว่า “ในส่วนธุรกิจสกินแคร์ ของบริษัท Aromatique Active ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสารสกัดธรรมชาติภายใต้แบรนด์ M&C ในปีแรกนี้ บริษัทสามารถทำยอดขายได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะมีรายได้อย่างน้อย 20 ล้านบาท จากการทำการตลาด ณ จุดขาย โดย จำหน่ายในร้านค้าของบริษัทกว่า  280  แห่งทั่วประเทศ  และการเปิด  Pop Up Store ในศูนย์การค้าฯ ซึ่งได้รับผลตอบรัที่ดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทั้งนี้ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะขยายตัวไปต่างจังหวัด  ด้วยการจับมือกับห้างสรรพสินค้า โรบินสัน ราชบุรี และกาญจนบุรี  รวมถึงได้เริ่มเปิดขายใน Lazada กว่า 3 เดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายยอดขาย  5 % จากยอดขายรวมของบริษัทภายในระยะเวลา 3 ปี

ส่วนแผนการส่งเสริมการขายในช่วงเดือนตุลาคมถึงปลายปี ได้มีการเตรียมคอลเลคชั่นยอดนิยม เสื้อผ้าสีขาว-ดำ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แฟชั่นฤดูหนาว และโปรโมชั่นให้ลูกค้าได้ช้อปปิ้งแบบคุ้มค่าและสนุกเช่นเดิม โดยแฟชั่นฤดูหนาวในปีนี้จะเน้น Jacket แนว Modern Active Lifestyle ที่ผสมผสาน Active look และนวัตกรรมผ้าที่น้ำหนักเบา นิ่มสบายแต่ให้ความอบอุ่นได้ดี    ซึ่งสามารถป้องกันความหนาวและละอองฝนได้ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใส่ Jacket ให้เป็นทั้งเสื้อกันหนาวและใช้เดินท่องเที่ยวได้ในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมแผนรองรับฤดูแห่งการท่องเที่ยวและการมอบของขวัญ  โดยได้เตรียมสินค้าประเภทกระเป๋า เป้ หมวก accessory สำหรับเดินทาง และ Gift Set ที่จะมาพร้อมกับ Campaign สนุกๆให้ลูกค้าได้ใช้จ่ายอย่างคุ้มค้าที่สุด

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการจับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยได้มีการร่วมมือกันอย่างชัดเจนกับทาง Baidu, Alipay, WeChat Pay และห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศไทย เพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม”